ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันรถยนต์ชั้น 1

เมื่อพูดถึงประกันรถยนต์ชั้น 1 หลายคนก็มักจะเก็บเอาไว้เป็นตัวเลือกแรกเสมอ โดยคิดว่าราคาแพงสุด จะต้องคุ้มครองทุกอย่าง ซึ่งความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะประกันแต่ละชั้นต่างก็มีเงื่อนไขกำหนดที่คุณยังไม่รู้ และเข้าใจผิดเช่นกัน หากพูดแบบตรงไปตรงมาก็คือ คุ้มครองครบ แต่ไม่ได้คุ้มครองทุกอย่างนั่นเอง คราวนี้ล่ะ !! จึงอยากมาเคลียร์ให้ทุกคนเข้าใจ จะได้ช่วยคุณตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ชั้นหนึ่งอย่างถูกต้อง แล้วเราต้องรู้อะไรบ้างนะ? มาศึกษาพร้อมๆ กันเถอะ …..
1. ซ่อมเค้าซ่อมเราทุกกรณี

สิ่งแรกเลยที่หลายคนชอบมักเข้าใจผิดคิดว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 นั้นจะให้ความคุ้มครองทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุรถชนแบบไหนก็ตาม เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนรถ หรือคู่กรณีมิใช่รถ อีกทั้งรวมถึงรถหาย รถไฟไหม้ รถน้ำท่วมก็ดูแลหมดแต่ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่ใช่ว่าจะคุ้มครองทุกอย่างนะเพราะยังมีอีกหลายกรณีที่ทางประกันสามารถไม่รับเคลมได้ ฉะนั้น เพื่อความเข้าใจกันง่ายขึ้น จึงขอสรุปเอาไว้คร่าวๆ ดังนี้

เมื่อเกิดอุบัติเหตุตอนมึนเมา หรือมีปริมาณ แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
กรณีนำรถยนต์ไปใช้ผิดประเภท เช่น แข่งรถ และขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
สำหรับการใช้ลากรถเราจูง หรือผลักดันจนเกิดความเสียหาย

2. คุ้มครองยางรถยนต์และของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง

หากเราใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ก็ย่อมส่งผลให้ยางรถยนต์และน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้ สำหรับความคุ้มครองประกันรถยนต์ชั้น 1 เราจะไม่ดูแลใกรณีนี้ เพราะว่าเป็นความเสียหายจากการเสื่อมสภาพตามเวลา มิใช่เกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้แล้วหมดไป จึงไม่มีใครสามารถรับประกันไว้ให้ แต่ถ้ากรณีเกิดเหตุการณ์หลบรถสิบล้อ แล้วขับไปชนฟุตบาทจนยางเสียหาย อันนี้ประกันจะช่วยจ่ายให้ โดยไม่เกิน 50% ของราคายาง ดังนั้น จะคุ้มครองหรือไม่คุ้มครองก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย นอกจากนี้ทางประกันยังมีให้เลือกซื้อความคุ้มครองยาง น้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันหล่อลื่นเพิ่มเติมได้เช่นกัน ยิ่งใครที่ชอบเดินทางบ่อยๆนะ หากมีเผื่อไว้ก็คงอุ่นใจไม่น้อย ….

3. เข้าซ่อมศูนย์ไหนก็ได้

ถึงแม้ว่าเราจะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 แบบซ่อมศูนย์ไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะซ่อมศูนย์เสมอไปนะ เพราะอาจจะติดปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น บางศูนย์ก็ไม่ได้ดิวกับทางบริษัทประกันบริษัทที่เราซื้อไว้ ซึ่งศูนย์เหล่านี้จะต้องกำหนดเรื่องค่าแรง ค่าอะไหล่ ส่วนลด การเบิก การสำรองจ่าย รวมถึงระยะเวลาการซ่อมกันก่อน หรืออาจจะเจอศูนย์ที่ไม่มีบริการซ่อมสี ตัวถัง เพราะเป็นศูนย์ที่ขายรถอย่างเดียว เราก็ไม่สามารถเอารถเข้าซ่อมที่ศูนย์นั้นๆได้ หรือบริเวณใกล้เคียงไม่มีศูนย์ให้บริการเลย ถ้าถามว่าสามารถนำรถยนต์เข้าซ่อมศูนย์เลยได้ไหม? ต้องบอกว่าซ่อมได้ แต่ถ้าติดเงื่อนไขดังกล่าวก็อาจจะต้องปรึกษาบริษัทประกันว่าเราสามารถซ่อมที่ไหนได้บ้างที่เราสะดวกที่สุด ฉะนั้นเราสามารถเลือกซ่อมศูนย์หรือซ่อมอู่ที่ใช่สำหรับคุณได้นั่นก็หมายความว่า การซ่อมศูนย์อย่างเดียว ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับคุณเสมอไป เพราะมีส่วนทำให้ราคาเบี้ยประกันค่อนข้างสูงกว่า และมีค่าส่วนต่างในการซ่อมเพิ่มเติมสำหรับกรณีเข้าเคลมนอกศูนย์ที่บริษัทประกันไม่ได้ดิว รวมถึงระยะเวลารอคิวที่ศูนย์นานพอสมควร หากต้องการใช้รถด่วน ก็อาจจะเลือกให้ไปซ่อมอู่แทนดีกว่า !!

4. มีค่าความเสียหายส่วนแรกที่แพงกว่าประกันรถยนต์ชั้นอื่น

เคยได้ยินกันใช่ไหม? กับคำว่า ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ Deductibleนั่นก็หมายความว่า การซ่อมศูนย์อย่างเดียว ก็อาจจะไม่เหมาะสมกับคุณเสมอไป เพราะมีส่วนทำให้ราคาเบี้ยประกันค่อนข้างสูงกว่า และมีค่าส่วนต่างในการซ่อมเพิ่มเติมสำหรับกรณีเข้าเคลมนอกศูนย์ที่บริษัทประกันไม่ได้ดิว รวมถึงระยะเวลารอคิวที่ศูนย์นานพอสมควร หากต้องการใช้รถด่วน ก็อาจจะเลือกให้ไปซ่อมอู่แทนดีกว่า !!

5. คุ้มครองเฉพาะกรณีมีใบขับขี่เท่านั้น

อย่างที่เราทราบกันดีว่า การขับขี่รถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซต์นั้น จะต้องพกใบขับขี่ติดตัวตลอดเวลา ถือเป็นกฎหมายภาคบังคับ หากฝ่าฝืนกฎอาจจะต้องโดนจับ หรือเสียค่าปรับได้ แล้วถ้าเรามีประกันรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้ ดันเกิดอุบัติเหตุขณะไม่มีใบขับขี่ กรณีเราเป็นฝ่ายผิดล่ะ !! ประกันจะจ่ายให้เราไหม? เพื่อความเข้าใจกันง่ายๆ ขอสรุปมาให้ฟัง ดังนี้

กรณีไม่เคยมีใบขับขี่ หรือไม่เคยสอบมาก่อน อันนี้ทางประกันจะยกเว้นความคุ้มครองในส่วนรถของผู้เอาประกันได้ แต่จะชดเชยความเสียหายให้กับบุคคลภายนอก เช่น ความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ตามกรมธรรม์ที่ได้ระบุไว้
กรณีคนขับมีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกมา ทางประกันจะคุ้มครองทั้งรถเรา และคู่กรณี แต่จะต้องทำสำเนายืนยันด้วย
กรณีมีใบขับขี่ แต่หมดอายุ หากเราคัดสำเนาแล้ว บริษัทก็ยังคงคุ้มครองทั้งรถเรา และคู่กรณีเช่นกัน
กรณีที่ใบขับขี่ถูกยึด เราจะต้องคัดสำเนาเหมือนเดิม หลังจากนั้นทางประกันจะคุ้มครองทั้งรถของคุณ และคู่กรณี

6. ทำได้เฉพาะรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น

ไม่จริงเสมอไปนะ ว่าการทำประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง จะต้องเป็นรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น !! ถึงแม้ว่ารถที่เพิ่งถอยมาใหม่จากโชว์รูม ทางประกันจะบังคับให้ทำประกันชั้นหนึ่งในช่วงปีแรก เพื่อลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่าย เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เพราะรถคันใหม่นั้น ย่อมมีค่าใช้จ่ายในการเคลมสูง และบางคนยังผ่อนรถอยู่ จึงต้องทำประกันชั้นหนึ่งไว้ สำหรับคุ้มครองกรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วมด้วย แต่เอาจริงๆแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่รถใหม่ป้ายแดงอย่างเดียว จะเป็นรถคันเก่า หรือรถที่มีอายุ คุณก็สามารถเลือกทำประกันชั้น 1 ได้เช่นกัน ยิ่งถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยชำนาญด้านการขับขี่สักเท่าไหร่ หรือต้องใช้รถเดินทางเป็นประจำ แล้วอยากได้ความคุ้มครองแบบครอบคลุม ก็เลือกซื้อเป็นประกันชั้นหนึ่งได้เลย

7. จะจ่ายสูงสุดตามราคารถยนต์

หลายเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกทำประกันชั้น 1 เพราะคิดว่าน่าจะได้ทุนประกันสูงสุดตามมูลค่าของรถยนต์ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า !! การทำประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง สำหรับรถใหม่ป้ายแดงนั้นจะให้ทุนประกันเพียง 80% ของมูลค่ารถยนต์ นอกจากนั้นมูลค่ารถยนต์จะลดลงตามจำนวนปีที่เพิ่มขึ้นเสมอ โดยมูลค่ารถยนต์จะลดลงเรื่อยๆปีละ 10% ของราคากลางรถยนต์ในปีนั้น จะไม่ได้จ่ายสูงสุดตามราคารถยนต์ดังกล่าว ทั้งนี้ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้คำนวณทุนประกันเอง ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าราคากลางของรถยนต์ ณ ปีนั้น แล้วอย่างนี้ประกันชั้น 1 จะจ่ายสูงสุดเท่าไหร่ของมูลค่ารถยนต์ ต้องแยกออกเป็นสองกรณี ดังนี้นะ

ความเสียหายสิ้นเชิง หมายความว่า ความเสียหายนั้นซ่อมเหมือนเดิมไม่ได้ หรือมีค่าซ่อมเกิน 70% ของทุนประกันทางประกันจะจ่ายให้เต็มจำนวนตามกรมธรรม์ทั้งหมด 80% แต่เราจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ของซากรถยนต์ที่เอาประกันให้แก่บริษัทประกัน หรือเรียกอีกอย่างว่า การขายซาก นั่นเอง
ความเสียหายบางส่วน กรณีนี้อาจจะยังซ่อมไหวอยู่ โดยค่าซ่อมนั้นไม่เกิน 70% ของทุนประกัน บริษัทประกันจะจัดซ่อมให้เหมือนเดิม หรือจะชดเชยเป็นเงินสดเพื่อให้ลูกค้าไปซ่อมเองก็ได้ โดยราคาที่จ่ายจะประเมินจากอู่หรือศูนย์ในเครือ แต่หากเป็นกรณีนี้ประกันอาจจะขอสิ้ดสุดความคุ้มครองทันทีหลังจากชำระเงินค่าชดเชยให้ผู้เอาประกันแล้ว

*** ยิ่งมูลค่ารถยนต์สูง ทุนก็ยิ่งสูง ทำให้เบี้ยประกันแพง แต่จะได้รับความคุ้มครองมากขึ้น หากทุนประกันน้อย เบี้ยก็จะถูกมาก และความคุ้มครองก็จะน้อยตามไปด้วย

8. เราเลือกทุนประกันเองได้

ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้คำนวณทุนประกันเอง โดยจะคำนวณมาจากราคากลางในตลาด หรือราคาซื้อสำหรับรถมือใหม่ป้ายแดง ทั้งนี้มูลค่าของรถยนต์นั้นก็จะขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน ซึ่งการเฉี่ยวชน การเคลมประกันต่างๆ จะไม่มีผลต่อมูลค่ารถยนต์เลย และเพื่อความเข้าใจกันเกี่ยวกับทุนประกันมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างมาให้อ่าน ดังนี้

รถมือใหม่ป้ายแดง จะได้รับทุนประกัน 80-90% ของมูลค่ารถ เช่น เพิ่งถอยรถคันใหม่มา 700,000 บาท ทุนประกัน 80% = 560,000 – 630,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท
รถคันเดิม (ปีที่ 2) จะได้รับทุนประกัน 80% ของมูลค่ารถยนต์ในปีที่แล้ว เช่น มูลค่ารถปีที่ 2 เป็น 560,000 บาท ทุนประกัน 80% = 448,000 บาท

“ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้คำนวณทุนประกันเอง โดยคิดมาจากราคากลางของรถยนต์ แต่เราก็สามารถเลือกเพิ่ม หรือลดทุนประกันเองได้เช่นกันนะ”

ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะเป็นผู้คำนวณทุนประกัน แต่เราก็สามารถเลือกเองได้ด้วย หากรู้สึกว่ารถของเราใช้งานเยอะ มีโอกาสเสี่ยงเคลมบ่อย ก็สามารถเพิ่มทุนประกันได้นะ ซึ่งเราอาจจะต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยจ่ายเพิ่มไม่เกินจำนวน 50,000 บาท หรือในทางกลับกันเราไม่ค่อยใช้งานรถบ่อย และคิดว่ามีโอกาสเสี่ยงเคลมน้อย จะลองเลือกทุนประกันให้น้อยลงได้เหมือนกัน แต่ลดได้ไม่เกิน 50,000 บาท เท่านั้น อันนี้ก็ต้องมาลองเปรียบเทียบจากลักษณะการใช้งานของเราเอง หรือสามารถขอเพิ่มทุนกรณีที่มีอุปกรณ์ตกแต่งราคาสูงก็ได้ด้วยเช่นกัน

9. คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลด้วย

ข้อเท็จจริงของการซื้อประกันรถยนต์ชั้นหนึ่งก็คือ จะให้ความคุ้มครองสูงสุดทั้งรถและตัวคุณ ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลรถของคุณกับคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล รวมถึงผู้โดยสารในรถอีกด้วย เช่น ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าผ่าตัด ค่าโรงพยาบาล ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง โดยไม่เกินความคุ้มครองที่ได้ระบุไว้ ถึงอย่างไรแม้ว่าประกันรถยนต์จะช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลก็จริง แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุรถชนกันจนมีคนบาดเจ็บ ขอย้ำว่า !! พ.ร.บ. ประกันภัยภาคบังคับ จะเข้ามาช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นก่อนประกันภาคสมัครใจ แต่หากคุณมีค่าใช้จ่ายส่วนต่างเกินจากความคุ้มครองของ พรบ. ประกันภาคสมัครใจ ถึงจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบในภายหลัง ก็คือ จ่ายค่ารักษาส่วนเกินจาก พ.ร.บ. รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์นั่นเอง

10. ถ้าเคลมแล้วต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มปีต่อไป

ใครหลายคนมักจะคิดว่า ถ้าทำประกันรถยนต์ชั้นหนึ่งแล้ว จะเคลมตอนไหนก็ได้ อันนี้ก็จริงอย่างที่เราบอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเคลมประกันรถยนต์แต่ละครั้ง จะไม่มีผลเสียตามมานะ นั่นก็เพราะจะถูกบันทึกไว้เป็น “ประวัติการขับขี่” ของคุณด้วย เช่น ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิด และเรียกเคลมบ่อย หรือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ ประวัติการเคลมของคุณก็จะระบุไว้ทุกครั้ง อาจเข้าข่ายผู้ขับขี่ประวัติไม่ดี เป็นเหตุให้บริษัทประกันต้องเพิ่มค่าเบี้ยประกันในปีต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าคุณเคลมแล้วจะจ่ายค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเลยนะ เพราะทางบริษัทประกันจะพิจารณาตามความเหมาะสม